Translate

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ศาสตร์แห่งการนวดกับ Aroma Therapy

ศาสตร์แห่งการนวดกับ Aroma Therapy คือ


เรื่องการนวดเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีแต่โบราณ สมัยยุคหิน เมื่อไปล่าสัตว์เกิดเมื่อยตัวก็กลับมาบีบนวดด้วยมือ บางครั้งก็ใช้น้ำลายทำให้ลื่นขึ้น ในบางครั้งก็อาศัยบ่อน้ำร้อน หินร้อนธรรมชาติที่อยู่ใกล้มือๆ เมื่อลงไปแช่ หรือนำมาประคบ ก็เกิดเป็นการผ่อนคลายที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาล ต่อมาหลังจากยุคหินนั้น เป็นสมัยที่มีการจดบันทึกไว้ประมาณ 7000 ปีมาแล้ว จึงเป็นชาติแรกที่ใช้วิธีการนวด ซึ่งจักรพรรดิจีนโปรดให้มีการนวด เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้นอนหลับสบาย ต่อจากจีนก็เป็นอียิปต์ ก็ใช้การนวดนักรบ ในสมัยนี้ก็มีการอาบแช่เข้ามาด้วย การนวดของอียิปต์ยังมีการนวดเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศอีกด้วย ซึ่งเป็นชาติแรกที่เริ่มใช้การนวดกับความรู้สึกทางเพศ หลังจากอียิปต์ก็ข้ามต่อมายัง ยุคโรมัน ใช้กับนักรบ...ต่อมาที่ โรม อิตาลีแล้วก็ต่อไปยังสแกนดีเนเวีย เดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีการพัฒนาเรื่องการนวด อบเซาว์น่า ซึ่งฟินแลนด์เป็นต้นตำรับเกี่ยวกับการอบเซาว์น่า และในแถบสแกนดิเนเวียนี้ยังมีการเน้นเรื่องการอบด้วยความร้อน ด้วยวิธีต่าง ๆ ผสมผสานกับการนวด เพราะเป็นประเทศที่หนาว ต่อมาสวีเดนได้พัฒนามาเรื่อย ๆ จนเมื่อประมาณ 100 กว่าปีมานี้เอง สวีเดนได้รวบรวมศาสตร์การนวดและการอบไอน้ำเซาว์น่า จนกลายเป็นที่นิยมและเป็นวิธีการรวดที่ดีสุดที่สุดวิธีหนึ่งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สวีดิช มาสซาจ (Swedish Massage) เป็นการนวดแบบสากลเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก


หลักของสวีดิช มาสซาจ มีหลักคือ เพื่อผ่อนคลาย ให้เกิดความสบายเพื่อรักษาโรค เช่น อัมพาต ข้ออักเสบ ฯลฯ นวดเพื่อเสริมสวย เพื่อความสุขสำหรับคู่สมรส ซึ่งในทางการแพทย์-กายภาพบำบัด ก็มีการสอนเป็นหลักสูตรเพื่อให้บริการแนะนำแก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย หลักง่ายๆ ที่ให้ก็มีพื้นฐาน คือ การลูบคลึง การบิด การตบ การหยิบ การทุบ การสับ แล้วใช้ก็วิธีการเหล่านี้ไปปรับ และเสริม ทั้งนี้ผู้ที่นวดต้องศึกษาทางกายวิภาค และรู้จักสรีระ-ร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างดี ว่าถูกบังคับด้วยประสาทส่วนใด มีกล้ามเนื้อตรงไหนใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายเนื่องจากการจับ หรือกด ผิดจุดได้

เครื่องมือ และส่วนประกอบที่ใช้ในการนวดมีตั้งแต่ มือ น้ำมัน แป้ง ยา ครีม โลชั่น เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ถ้าใช้การนวดเพื่อผ่อนคลาย เพื่อให้เกิดความสบายจะใช้ครีม โลชั่นหรือน้ำมันหอมระเหย เพื่อให้เกิดความลื่น ทำให้การเสียดสี ระหว่างผู้นวดและผู้ถูกนวดลดลง และเกิดความสบาย แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยที่เกิดจากโรค เช่น ข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ หรืออาการชา หรือความผิดปกติที่โครงสร้าง ก็ต้องใช้ยาและนวด เพื่อให้เลือดที่คั่งคลายและทุเลาปวด แต่ถ้ามีอาการบวม ช้ำ ระบม ก็ต้องใช้ยาอีกกลุ่มร่วมกับการนวดเพื่อคลาย แต่ต้องไม่สับสนกับการปฐมพยาบาลเกี่ยวกับการประคบเย็น 24 ชั่วโมง เมื่อเกิดการบวมแล้วประคบร้อนหลังจาก 24 ชั่วโมง เพราะการนวดจะมาปรับใช้ในขั้นตอนนี้ เพื่อให้เลือดที่คั่งคลายตัว และไหลเวียนดีโดยใช้ยาประกอบ เช่น ยาพวกเจลต่าง ๆ จะลดอาการระบม ยาที่นำมาใช้ในการนวดเหล่านี้เป็นยาที่ทาภายนอกจึงมีอันตรายน้อย ถ้าไม่มีอาการแพ้ เช่น ผื่นแดง คัน ปวดแสบปวดร้อน ก็ปลอดภัย

อโรมา-เธราปี มีส่วนเกี่ยวข้อง และมีประโยชน์กับการนวดเพราะเรื่องของกลิ่น เป็นเรื่องของจิตใจ อารมณ์ เพราะถ้าผู้ที่ถูกนวดรู้สึกสบายและหอมสดชื่น ก็จะทำให้ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อลงได้ เมื่อจิตใจสบาย ก็จะทำให้ส่วนต่าง ๆ รู้สึกดีขึ้น เพราะการนวดช่วยให้สบายอยู่แล้ว ดังนั้น กลิ่นที่ผสมอยู่ในน้ำมันซึ่งก็มีคุณสมบัติแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ก็จะช่วยได้เมื่อนำมาใช้กับการนวด เดี๋ยวนี้มีการนำพืชสมุนไพร มาสกัดมากมายหลายชนิด และก็มีการค้นคว้าถึงคุณสมบัติของกลิ่น แต่ละอย่างมากมายและกว้างขวางขึ้น ส่วนการนวดกับน้ำมันกลิ่นหอมนั้น ไม่ค่อยได้เน้นในทางการแพทย์เท่าไร แต่จะไปเน้นในเรื่องการบำบัด สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ โดยใช้กลิ่นร่วมกับการพ่นไอน้ำให้ผู้ป่วยได้สูดดม โดยใช้ร่วมกับออกซิเจน ซึ่งจะใช้ยา-กลิ่นที่มีคุณสมบัติในการขยายหลอดลม

แต่ถ้าพูดถึงอโรมา-เธอราปี กับการนวดแล้ว จะเน้นในเรื่องของการคลายเครียด นวดเพื่อผ่อนคลายมากกว่า จะเป็นการรักษาซึ่งก็จะมีวิธีประกอบกับการใช้กลิ่น เช่น การผ่านการสูดดม การอบไอน้ำ การนวด การประคบ และกลิ่นแต่ละกลิ่นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของบุคคล ดังนั้นใครจะชอบกลิ่นใด หรือเหมาะกับกลิ่นไหน ก็ต้องทดลองเอง อย่างบางร้าน การใช้กลิ่นในการแพทย์แผนไทยก็กลับมาเป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น การอบในกระโจมโดยมีสมุนไพรกลิ่นต่าง ๆ สมุนไพรเหล่านั้นก็เป็นยาและมีคุณสมบัติในการรักษาอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าจะพูดถึงอโรมา-เธอราปี อย่างเดียวว่าเป็นการรักษาด้วยกลิ่น คงต้องเข้าใจว่า การรักษาด้วยกลิ่นนั้นต้องปรับไปใช้กับศาสตร์อื่น ๆ ด้วย เช่นใช้กับการนวด การอบ การประคบ การสูดดม การแช่ การอาบ ฯลฯ ซึ่งก็หมายถึงความสบายของจิตใจและร่างกายนั่นเอง

เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า การนวดจะช่วยผ่อนคลาย ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต ช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น ร่างกายจะรู้สึกคลายตัวสบายกาย และสบายใจ แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการนวดมีพัฒนาการขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะนวดตามแบบสากลที่มีสอนกันอยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 4-5 ประเภทแล้ว ปัจจุบันการนวดยังนำศาสตร์อื่น ๆ เข้ามาช่วยให้การนวดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น นวดด้วยครีม (ยา) เพื่อคลายกล้ามเนื้อหรือเพื่อบำบัดโรค นวดด้วยน้ำมันหอมระเหยเพื่อให้ผ่อนคลายสบายใจขึ้น

1. Ayurveda (อายุรเวท) เป็นแขนงหนึ่ง ของการแพทย์แผนโบราณในอินเดีย เป็นวิธีปฏิบัติให้ร่างกายบริสุทธิ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย การนวดแบบนี้จะใช้ทั้งมือและเท้าในการนวด

2. Shiatsu (ชิอัตสึ) เป็นการนวดที่มาจากญี่ปุ่น และเป็นการพัฒนามาจากการกดจุดของจีน การนวดชิอัตสึ จะเป็นการใช้ทั้งมือกดจุดลงบนส่วนต่าง ๆ ซึ่งมีธาตุทั้ง 5 อยู่ตามร่างกาย การนวดนี้จะช่วยลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ และยังสามารถคลายเครียดอีกด้วย แม้ว่าการนวดแบบนี้จะใช้นิ้วมือเป็นหลัก แต่ในบางครั้งก็ใช้ เข่า เท้า มือ ช่วยบ้าง

3. Reflexology (นวดแบบกดจุดบนเท้า) เป็นการใช้นิ้วกดจุดที่เท้า และมักใช้วิธีนี้รักษาโรค Migraine, ท้องผูก, ไซนัส, นิ่วในไต ฯลฯ

4. Swedish massage (แบบสวีดิช) เป็นการนวดที่นิยมไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย เป็นการนวดแบบสัมผัส กด บีบ สับ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

5. Alexander Technique (ทฤษฎี ปรับปรุงบุคลิกภาพ) การนวดแบบนี้จะต้องปรับปรุงท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน รวมทั้งจัดระบบการหายใจใหม่ Alexander ผู้ค้นพบวิธีนี้ เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 เขาเชื่อว่า การวางท่าและจัดองค์ประกอบของรูปร่างไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งเกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้ออันเป็นผลทำให้เกิดการบาดเจ็บ ของกล้ามเนื้อได้

6. Polarity Therapy เป็นการนวดแบบเพิ่มพลัง ให้กายและใจโดยใช้หลักธาตุทั้ง 5 จากมือ เท้า ถ่ายพลังงานไปที่สมอง ทฤษฎีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยหนัก

7. Deep Tissue Therapy เป็นการใช้ข้อศอกนวด กดจุด

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ info@honghuatshop.com



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น